คัมภีร์ที่บันทึกหลักธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนานั้นเรียกว่าพระไตรปิฎก
ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนา
เพราะเป็นคัมภีร์ที่จารึกคำสอนของพระพุทธเจ้าและของพระอรหันตสาวกไว้
โดยมีกระบวนการสืบทอดคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ในรูปแบบของการสังคายนา
อย่างระมัดระวังและรัดกุมที่สุด
การศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมจะต้องอาศัยคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นแกนกลาง เพราะมีการจดจำและบันทึกสืบ ๆ กันมา
ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่ จนถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ มาตามลำดับ
หลักธรรมคำสั่งสอนทางพุทธศาสนาได้มีการสืบทอดกันมาโดยมุขปาฐะ
คือการท่องจำสืบๆ กันมา (Oral Tradition)
ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงมีการจารึกเป็นคัมภีร์ครั้งแรกเมื่อคราวสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่
๕ เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐[1] ในตอนต้นคือตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มิได้เรียกว่าพระไตรปิฎก แต่เรียกว่า พระธรรมวินัยบ้าง
พระสัทธรรมบ้าง สัตถุศาสน์ ฯลฯ
แม้หลังพุทธปรินิพพาน ก็ยังไม่เรียกว่าพระไตรปิฎก คงเรียกว่า พระธรรมวินัย เช่นการสังคายนาชำระคำสอน ครั้งที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ยังคงเรียกว่าสังคายนาพระธรรมวินัย และได้เรียกว่า พระไตรปิฎกเมื่อ
การสังคายนาครั้งที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ ณ
ประเทศศรีลังกา โดยได้จารึกลงในใบลาน ซึ่งได้แบ่งพระธรรมวินัยเป็น ๓ หมวด (หรือ ๓ ตระกร้า : ไตร แปลว่า สาม ปิฎก แปลว่า ตระกร้า) จึงได้เรียกว่า
พระไตรปิฎกตั้งแต่บัดนั้นมา คัมภีร์พระไตรปิฎกแบ่งออกเป็น ๓ หมวด คือ
๑) พระวินัยปิฎก
ได้แก่หมวดที่ว่าด้วยบทบัญญัติที่พระพุทธองค์ทรงห้ามแก่พระ พระภิกษุ ภิกษุณี เรียกว่าพระวินัย
๒) พระสุตตันตปิฎก ได้แก่หมวดที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรง แสดงแก่แก่บุคคลต่าง ในสถานที่ต่าง ๆ เรียกว่าพระสูตร
๓) พระอภิธรรมปิฎก ได้แก่หมวดที่ว่าด้วยหลักธรรมที่ลึกซึ้ง ที่กล่าวถึงเรื่องปรมัตถ์ คือกล่าวถึงเรื่องจิต เจตสิก
รูป และนิพพาน เรียกว่าพระอภิธรรม
การจารึกพระธรรมวินัยลงในใบลานครั้งนั้น
ถือเป็นคัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนาเถรวาทครั้งแรกที่เป็นลายลักษณ์อักษร [2]
และใช้เป็นคัมภีร์สำคัญของพุทธศาสนาเถรวาทสืบมาจนถึงปัจจุบัน
พระไตรปิฎก
คือคัมภีร์ชั้นปฐมภูมิของพุทธศาสนาเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จารึกหลักธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนาไว้ โดยแบ่งเป็นหมวดเป็นหมู่ ดังนี้
๑. พระวินัยปิฎก บทบัญญัติและกฎเกณฑ์ที่บัญญัติให้พระภิกษุ
และภิกษุณีปฏิบัติตาม
หากมีการฝ่าฝืนก็จะมีโทษตามความผิดนั้น ๆ
มีโทษสถานหนัก ปานกลาง และอย่างเบา
พระวินัยแบ่งออกเป็น ๕ หมวด
คือ
๑.๑ มหาวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบท(ศีล)
ของพระภิกษุ ๒๒๗ ข้อ
คือ ปาราชิก ๔, สังฆาทิเสส ๑๓, อนิยต ๒,
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐, ปาจิตตีย์ ๙๒,
ปาฏิเทสนียะ ๔,
เสขิยวัตร ๗๕,
อธิกรณสมถ ๗ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
สิกขาบทในปาติโมกข์ ( ภิกขุปาติโมกข์)
๑.๒
ภิกขุณีวิภังค์ว่าด้วยสิกขาบทของนางภิกษุณี หรือภิกขุนีปาติโมกข์ ๓๑๑ สิกขาบท
๑.๓
มหาวรรค เล่าเรื่องตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เสด็จออกไปประกาศพระศาสนา การประทานอุปสมบทแก่ผู้มาขอบวช
พูดถึงการอุปสมบท อุโบสถ การจำพรรษา เครื่องหนัง เภสัช กฐิน จีวร นิคหกรรม
การออกจากอาบัติ
การระงับอธิกรณ์ การทะเลาะวิวาท และสามัคคี
๑.๔
จุลวรรค ว่าด้วยการบัญญัติปลีกย่อย เรื่องเสนาสนะ สังฆเภท วัตรปฏิบัติต่างๆ
การงดสวดปาติโมกข์เรื่องกำเนิดและพัฒนาการของภิกษุณีสงฆ์ลงท้ายด้วยประวัติการทำสังคายนาครั้งที่
๑ และที่ ๒
๑.๕ ปริวาร
ประมวลเรื่องเบ็ดเตล็ด
เกี่ยวกับสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณี เป็นคู่มือศึกษาพระวินัย
นำเสนอโดยแต่งเป็นคำถามคำตอบเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
๒. พระสุตตันตปิฎก หรือพระสูตร เป็นคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่บุคคลต่างๆ
หรือเทศนาของพระสาวก ที่แสดงไว้ประกอบด้วยบุคคล สถานที่ เวลา
ที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์นั้นๆ
พระสูตรแบ่งออกเป็น ๕ หมวด
คือ
๒.๑ ทีฆนิกาย
ได้แก่คัมภีร์หมวดที่รวบรวมพระสูตรที่มีเนื้อหาใจความยาวกว่านิกายอื่น จัดเป็นหมวดหมู่เป็นเรื่องรวมเป็นนิกายแรก
๒.๒ มัชฌิมนิกาย ได้แก่คัมภีร์ที่รวบรวมพระสูตร
ที่มีเนื้อหาใจความยาวขนาดกลาง ไม่สั้นหรือยาวเกินไป
๒.๓
สังยุตตนิกาย
ได้แก่คัมภีร์หมวดที่รวบรวมพระสูตรที่มีเนื้อเรื่องประเภทเดียวกันไว้เป็นหมวดหมู่ เป็นเรื่องเทวดา ก็มีชื่อว่า เทวตาสังยุตต์ คือประมวลเรื่องเทวดา เรื่องเกี่ยวกับป่าก็เป็นวนสังยุตต์ เป็นต้น
๒.๔
อังคุตตรนิกาย ได้แก่คัมภีร์หมวดที่รวบรวมพระสูตรที่กล่าวถึงธรรมที่เป็นหมวดจำนวนน้อยขึ้นไปตามลำดับ
เช่น ธรรมข้อเดียวก็เป็นเอกนิบาตธรรม ๒ ข้อ ก็เรียกทุกนิบาต เป็นต้น
๒.๕ ขุททกนิกาย ได้แก่คัมภีร์หมวดที่รวบรวมพระสูตรเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกเหนือจากนิกายทั้ง ๘ ดังกล่าวมาแล้วทั้งหมดมารวมเป็นหมวดหมู่ไว้ในขุททกนิกายนี้
[3]
๓. พระอภิธรรมปิฎก กล่าวถึงหลักธรรมที่เป็นธรรมะล้วน และเป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ไม่กล่าวถึงบุคคล สถานที่
เวลา สถานการณ์ใด ๆ นอกจากธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ พระอภิธรรมแบ่งออกเป็น ๗ คัมภีร์ คือ
๓.๑ ธรรมสังคณี ว่าด้วยการรวบรวมกลุ่มธรรมะ คือจัดระเบียบธรรมต่าง ๆ
ที่กระจัดกระจายอยู่รวมเข้าเป็นหมวดหมู่
๓.๒ วิภังค์
ว่าด้วยการแยกแยะหรือวิเคราะห์ข้อธรรมที่สำคัญต่าง ๆ เช่น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ
และอริยสัจ เป็นต้น แสดงให้เห็นรายละเอียดอย่างพิสดาร
๓.๓ ธาตุกถา ว่าด้วยการจัดธรรมหรือสงเคราะห์ข้อธรรมต่างๆ
เข้าเป็น ๑ ประเภท คือ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ
ว่าเข้ากันได้หรือไม่
๓.๔ ปุคคลบัญญัติ
ว่าด้วยการบัญญัติหรือกำหนดลักษณะบุคคลตามระดับคุณธรรมของบุคคลนั้น ๆ
๓.๕ กถาวัตถุ ว่าด้วยเรื่องของถ้อยคำแถลงทรรศนะขัดแย้งของนิกายต่างๆ
ชี้ให้เห็นว่าทรรศนะที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร โดยเน้นฝ่ายมติเถรวาทเป็นหลัก
๓.๖ ยมก ว่าด้วยการการจัดธรรมเป็นคู่ ๆ
โดยการตั้งคำถามเพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้ง
๓.๗ ปัฏฐาน
ว่าด้วยการอธิบายเงื่อนไขทางธรรมหรือปัจจัยทั้ง ๒๔ อย่างว่ามีธรรมข้อใดเป็นปัจจัยกันและกันบ้าง[4]
ประวัติการสังคายนาครั้งที่ ๑
ภายหลังเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว
ปรากฎว่ามีพระมหาสาวกที่สำคัญยังคงมีชีวิตอยู่หลายรูป เช่น พระมหากัสสปะ,
พระอนุรุทธ, พระอุปวาณะ. พระจุนทกะ, พระควัมปติ, พระกุมารกัสสปะ,
พระอานนท์, พระมหากัจจายนะ, พระอุเทนะ เป็นต้น
ในบรรดาพระสงฆ์ทั้งหมด
คาดว่าพระมหากัสสปะเป็นพระที่มีอายุพรรษามากกว่ารูปอื่น ๆ ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสงฆ์
ในคราวสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก
เมื่อเสร็จงานการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้วพระมหากัสสปะได้ปรารภแก่ที่ประชุมสงฆ์ ณ
เมืองกุสินารา
ถึงเรื่องการชำระสังคายนาพระธรรมวินัย
โดยอ้างเหตุ ๓ ประการคือ
๑. พระมหากัสสปะได้ประสบกับเรื่องที่น่าสลดใจคือตอนที่ท่านกับคณะพระภิกษุประมาณ
๕๐๐ รูปพำนักอยู่ทีเมืองปาวา
เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ ๗ วัน
ก็ได้ทราบข่าวนั้นจากปริพาชกคนหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลายต่างแสดงอาการต่าง ๆ ออกมา
ท่านที่เป็นพระอริยบุคคลก็มีสติอดกลั้นและปลงสังขารได้ ส่วนพระที่เป็นปุถุชนต่างร้องให้คร่ำครวญประการต่าง
ๆ ขณะนั้นได้มีพระภิกษุเฒ่ารูปหนึ่ง
ชื่อว่าพระสุภัททะ
กล่าวถ้อยคำที่เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนาด้วยถ้อยคำว่า “พวกเราพ้นจากสมณะนั้นแล้ว เพราะเมื่อก่อนท่านได้เบียดเบียนเรา
ด้วยการตักเตือนว่าสิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย บัดนี้พวกเราสบายแล้ว จะทำอะไรก็ได้
ไม่ทำอะไรก็ได้” คำพูดของพระสุภัททะเฒ่า ถือว่าเป็นการกล่าวจ้วงจาบต่อพระศาสนาอย่างรุนแรง ขาดความเคารพต่อพระธรรมวินัย
๒. เพราะพระพุทธดำรัสที่รับสั่งแก่พระอานนท์เถระเจ้าว่าพระธรรมวินัยจักเป็นศาสดาแทนพระองค์ในกาลที่พระองค์ล่วงลับไปแล้ว
๓. เพราะรำลึกถึงพระคุณของพระศาสดา
ในการสังคายนาครั้งนั้น
พระมหากัสสปะคัดเลือกเฉพาะแต่พระอรหันต์ที่ได้ปฏิสัมภิทาและอภิญญาเท่านั้น โดยมีพระอรหันต์จำนวน ๕๐๐ รูปมาประชุมกัน ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา เมืองราชคฤห์
แคว้นมคธ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรู
กษัตริย์แห่งแคว้นมคธถวายความอุปถัมภ์ มีพระมหากัสสปะเป็นประธานในการสังคายนา มีพระอุบาลีตอบคำถามทางพระวินัย พระอานนท์ตอบคำถามทางพระธรรม โดยมีขั้นตอนการสังคายนา ดังนี้
ขั้นแรก สงฆ์แต่งตั้งหน้าที่ให้กับพระมหากัสสปะเป็นผู้ซักถาม ให้พระอุบาลีและพระอานนท์เป็นผู้ตอบคำถาม
จากนั้นพระมหากัสสปะสอบถามพระวินัยแต่ละข้อกับพระอุบาลี เมื่อพระอุบาลีตอบไปตามลำดับแล้ว พระสงฆ์ที่ประชุมกันก็จะสวดพระวินัยข้อนั้นๆ
พร้อมกัน เมื่อสวดได้ตรงกันไม่ผิดพลาดแล้ว สงฆ์ก็รับว่าถูกต้อง แล้วจึงถามข้ออื่น ๆ
ต่อไป ส่วนพระธรรมก็เช่นเดียวกัน มีพระอานนท์เป็นผู้ตอบ
ในการสังคายนาครั้งนี้
ใช้เวลานานถึง ๗ เดือน
จึงเสร็จ
หลังจากเสร็จการสังคายนาแล้ว พระอานนท์ได้แจ้งให้สงฆ์ทราบว่า พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า “เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว
จะพึงถอนสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้
เมื่อสงฆ์ต้องการ” (อากงฺขมาโน อานนฺท
สงฺโฆ มมจฺจเยน ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ
สมูหนตุ ) แต่พระอานนท์มิได้ทูลถามว่าสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นมีอะไรบ้าง สงฆ์ตำหนิพระอานนท์ที่ไม่ทูลถาม สงฆ์จึงไม่อาจหาข้อยุติได้ว่า
สิกขาบทเล็กน้อยนั้นคืออะไรบ้าง
พระมหากัสสปะจึงได้เสนอความคิดเห็นในที่ประชุมว่า
- สิกขาบททั้งหลายบางอย่างที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ชาวบ้านย่อมทราบว่าอะไรควร หรือไม่ควร สำหรับสมณศากยบุตรทั้งหลาย
- หากจะถอนสิกขาบทบางข้อ
ชาวบ้านจะตำหนิว่าพวกเราศึกษาและปฏิบัติตามสิกขาบททั้งหลาย ในขณะที่พระศาสดาทรงพระพระชนม์อยู่เท่านั้น
พอพระศาสดาปรินิพพานก็ไม่ใส่ใจที่จะปฏิบัติ
- ขอให้สงฆ์ทั้งปวงอย่าได้เพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้
และอย่าได้บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ สมาทานศึกษาตามที่ทรงบัญญัติไว้เท่านั้น[5]
เมื่อสิ้นคำประกาศของพระมหากัสสปะแล้ว
ปรากฏว่าที่ประชุมเห็นพ้องด้วย
จึงเป็นอันถือว่าแต่กาลบัดนั้นเป็นต้นไป
คณะสงฆ์ ( ที่เห็นด้วยกับพระมหากัสสปะ) จะไม่เพิกถอนสิกขาบทแม้สักเล็กน้อยเลย
คณะสงฆ์คณะนี้จึงได้ปรากฏนามสืบต่อมาว่า คณะเถรวาท หรือสถวีรวาท หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า วินัยวาที
จากพุทธดำรัสที่ตรัสอนุญาตให้สงฆ์สามารถเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ดังกล่าว จึงทำให้มีการตีความกันไปต่างๆ
ในหมู่สงฆ์ที่ไม่เห็นด้วยกับมติสงฆ์ในการสังคายนาครั้งที่ ๑ และถือเอาตามพระพุทธดำรัสดังกล่าว
อันจะเพิกถอนสิกขาบทได้ในภายหลัง
อันเป็นจุดหนึ่งของการแตกแยกนิกาย
เมื่อสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่
๑ สงฆ์ได้ใช้ภาษาบาลีหรือภาษามคธ
เป็นภาษาในพระไตรปิฎก
คงเป็นเพราะเหตุผล ๒ ประการ คือ
(๑) เพราะการสังคายนาทำกันในแคว้นมคธ
(๒) ภาษามคธ ในสมัยนั้น
เป็นภาษาที่มีอิทธิพลกว้างขวาง
และถือว่าพระพุทธองค์ก็ตรัสภาษาบาลีในการประกาศศาสนาด้วย
จึงใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาในการจารึกพระไตรปิฎกเมื่อ พ.ศ.
๔๕๐ ที่ประเทศศรีลังกา ฝ่ายเถรวาทจึงใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาหลัก เพราะถือว่าเป็นภาษาที่มีแบบแผน (ตันติภาษา) สามารถรักษาพระพุทธพจน์ไว้มิให้คลาดเคลื่อนส่วนทางฝ่ายมหายานใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่ใช้ในการจารึกพระไตรปิฎก
ประวัติการสังคายนาครั้งที่ ๒
หลังพุทธปรินิพพานได้ประมาณ ๑๐๐ ปี ได้มีพระภิกษุชาววัชชี ซึ่งจำพรรษาอยู่ในเมืองไวศาลี ได้ประพฤติผิดวินัย ๑๐ ประการ โดยอ้างเหตุผลว่า
พระพุทธองค์ทรงตรัสอนุญาตให้เพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ จึงเพิกถอนสิกขาบท ๑๐ ข้อ คือ
๑. ห้ามภิกษุรับเองหรือให้ผู้อื่นรับซึ่งทองและเงินหรือยินดีในทองและเงินที่เขาเก็บไว้เพื่อตน
๒. ห้ามฉันโภชนาหารที่ไม่ได้ทำวินัยกรรมไว้ก่อนเมื่อไปในละแวกบ้าน
๓. ห้ามฉันของเคี้ยวของฉันในยามวิกาล
๔. ห้ามเอาเกลือที่เก็บสะสมไว้ในเขาสัตว์ปนกับของฉันที่เป็นอาหาร
๕. ห้ามฉันน้ำหมักอันมีสีน้ำแดง ดั่งเท้านกพิราบ แต่ยังไม่เป็นสุราน้ำเมา
๖. ห้ามฉันโครสห้าอย่างในเวลาวิกาล
๗. ห้ามทำอุโบสถสังฆกรรมแก่ภิกษุผู้มาภายหลัง ซึ่งได้เริ่มทำอุโบสถกรรมไปแล้ว
หรือลุกไปเสียระหว่างกลางคัน
๘. ห้ามทำอุโบสถกรรมต่างกันในอารามใหญ่มีเสมาแดนเดียวกัน
๙. ห้ามใช้สันถัดอันไม่ได้ประมาณกำหนด
( คือผ้ารองนั่ง)
๑๐. ห้ามปฏิบัติตามพระอุปัชฌายจารย์ในขนบธรรมเนียมสืบกันมา
สิกขาบททั้ง
๑๐ ข้อนี้ พระภิกษุชาววัชชี ล่วงละเมิดมานานแล้ว ด้วยตกลงว่าเพิกถอนไปแล้ว ชาวบ้านที่นั่นก็ยอมรับ จึงมีการถวายเงินทองแก่พระภิกษุสงฆ์ได้
ต่อมาพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อว่าพระยสกากัณฑบุตร ชาวเมืองโกสัมพี
ได้เดินทางไปยังเมืองไวศาลี
ได้เห็นพฤติกรรมของพระภิกษุชาววัชชีนำถาดมารับบริจาคเงินทองจากญาติโยม
แล้วน้ำมาแบ่งกัน
พระยสกากัณฑบุตรพยายามอธิบายให้ญาติโยมฟังจนเข้าใจตามพระวินัย
แต่สร้างความไม่พอใจให้กับพระภิกษุชาววัชชีเป็นอย่างมาก ท่านเห็นว่าถ้าหากปล่อยไว้จะเกิดปัญหาภายหลัง
โดยปรึกษาหาทางแก้ไขกับคณะสงฆ์
ในที่สุดพระเถระอรหันต์จากเมืองปาฐา ๖๐ รูป จากแคว้นอวันตี และทักษิณาบถ ๘๐ รูป
ได้ไปประชุมร่วมกับพระสาณสัมภูตวาสีและพระยสกากัณฑบุตร ณ อโหคังคบรรพต มีมติว่าต้องมีการชำระให้เรียบร้อย โดยตกลงให้ไปอาราธนาพระเรวตเถระ
ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่ชำนาญในพระวินัยเป็นผู้ตัดสิน พระเรวตะวินิจฉัยว่า การกระทำของพระภิกษุชาววัชชีนั้นผิดทุกข้อ
จึงตกลงร่วมกันจะจัดการสังคายนาพระธรรมวินัยขึ้น
ฝ่ายพระวัชชีบุตรทราบข่าวการจัดการสังคายนา จึงวิ่งเต้นหาเสียงเพื่อสนับสนุนฝ่ายตน เพื่อให้มีเสียงชนะในที่ประชุม โดยการให้สินบนแก่พระรูปอื่น ๆ
และเข้าไปหาพระเรวตะ
เพื่อขอร้องให้สนับสนุน
แต่พระเรวตะไม่ยินยอม
พระวัชชีจึงเข้าไปเฝ้าทูลเท็จพระเจ้ากาฬาโศก ว่ามีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งจะแย่งวัดของพวกตน ตอนแรกทรงหลงเชื่อ แต่ตอนหลังทรงทราบเรื่องดี จึงทรงเป็นผู้อุปถัมภ์การสังคายนาชำระอธิกรณ์ครั้งนี้
การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สองจึงได้เริ่มขึ้น
พระสงฆ์ทั้งสองฝ่ายมาประชุมกัน มีการยกเอาวัตถุ ๑๐ ประการ (สิกขาบท)
มาถามทีละข้อจนจบ
ผลปรากฏว่าสงฆ์ตัดสินว่า วัตถุ ๑๐ ประการนั้นผิดวินัย โดยเสียงเป็นเอกฉันท์
จากนั้นพระเถระทั้งหลายจึงได้เริ่มสังคายนาพระธรรมวินัยตามแบบปฐมสังคายนา การกระทำการสังคายนาครั้งนี้ กระทำอยู่ ๘ เดือนจึงเสร็จ มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๗๐๐ รูป
ต่อจากนั้น ได้มีการสังคายนาครั้งที่ ๓, ๔, ๕, ๖ ตามลำดับ และในการสังคายนาครั้งที่ ๕ ที่ประเทศศรีลังกา ได้ทำการจารึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้น
เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐
คัมภีร์คือหนังสือที่ใช้บันทึกคำสอนของพระพุทธศาสนา
ซึ่งเปรียบเสมือนคลังแห่งความรู้ที่พุทธศาสนิกชนควรศึกษาทำความเข้าใจในคัมภีร์ต่างๆ
และคัมภีร์แต่ละเล่มนั้นมีคุณค่าทางด้านเนื้อหา
เพราะได้อธิบายคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ โดยแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ
ตามลักษณะของคัมภีร์เหล่านั้น
คัมภีร์ทางฝ่ายเถรวาทนั้น มีลักษณะสำคัญคือเป็นคัมภีร์ที่อธิบายเนื้อหาในพระไตรปิฎกเป็นต้นแบบ
ต่อมาก็มีการเขียนคัมภีร์ขึ้นเพื่ออธิบายคัมภีร์นั้นๆ ตามลำดับ เพื่อให้เกิดความกระจ่างแจ้งในเนื้อหามากขึ้น
*********************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น